หลังจาก Crash landing on you 2020 จบไป ทำให้เราคิดถึงสวิตเซอร์แลนด์มาก ต้องมาเขียนละ เพราะสวิตเซอร์แลนด์ แดนในฝันนี้ เป็นประเทศที่ใครๆ ก็อยากมา ไม่ว่าจะมาฮันนีมูน หรือมาพักผ่อน “เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์” เป็นหนึ่งประเทศที่ได้รับความนิยมมาก วันนี้เราแจกแพลนเที่ยว 8 วัน ที่รวบรวมกว่า 11 ที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์แบบจัดเต็ม ที่เที่ยวเองได้ ไม่ต้องมีรถขับ แค่ใช้ระบบสาธารณะของเค้า ก็สะดวก ไม่ยากเลย
ขอโน๊ตนิดนึง บทความนี้จะค่อนข้างเน้นที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ที่ออกแนว วิว ธรรมชาติ หรือที่ ที่คนไทยไม่ค่อยไปมากกว่าพวกเมือง หรือชอปปิ้งนะคะ ดังนั้น แนะนำซื้อ SWISS PASS ด้วย คุ้มมากเมื่อจะไปดูวิว/ขึ้นกระเช้าที่ภูเขาลูกต่างๆ มากกว่า 3 ที่ ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มกันเลย!
วันที่ 1 : Zurich
เริ่มแรก เป็นสถานที่ที่ต้องมาอยู่แล้ว เนื่องจากลงเครื่องที่สนามบิน Zurich เราก็มาเดินดูเมืองที่เรียกว่าใหญ่ที่สุดในสวิตเซอร์แลนด์ ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งงานสภาปัตยกรรมเก่าแก่ของทางฝั่งยุโรปเลย นั่นก็คือหอนาฬิกาแห่งโบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ (St. Peter) และโบสถ์หอคอยคู่กรอสมุนเตอร์ (Grossmunster) 2 ที่เที่ยวนี้ ได้รับความนิยมมาก สามารถเดินหากันได้ ไม่ไกล และในเรื่อง Crash landing on you ก็ได้มาถ่ายด้วย ตรงสะพานทางเดินหน้าโบสถ์หอคอยคู่กรอสมุนเตอร์ ในฉากที่นางเอกมาเดินตามหาพระเอก ช่วงท้ายๆของเรื่อง
หลังจากเดินชมเมืองแล้ว ตอนเย็น เราแวะทานอาหารกัน ที่ร้าน Bierhalle Johanniter หรือใช้ชื่อ Rheinfelder bierhalle เป็นร้านอาหารที่ขึ้นนิยมของชาว Zurich ร้านนี้สามารถเดินจากหอนาฬิกาและโบสถ์มาได้ ซึ่งเมนูที่เราลองคือ พวกหมูทอดกับเฟรนฟราย และชีสอบ โน๊ตนิดนึง จานอาหารที่นี่ใหญ่มาก และพวกเมนูอาหารอาจจะอ่านยากเพราะเป็นภาษาเยอรมัน เพราะงั้นเราต้องขอชุดภาษาอังกฤษเค้านะคะ ถ้าร้านไหนไม่มีเมนูภาษาอังกฤษ ใช้ Google Translate เลยค่ะ ถ่ายแล้วกดแปล พอช่วยได้อยู่
แผนที่
- หอนาฬิกาแห่งโบสถ์เซนต์ ปีเตอร์ (St. Peter)
- โบสถ์หอคอยคู่กรอสมุนเตอร์ (Grossmunster)
- ร้านอาหาร Rheinfelder Bierhalle
วันที่ 2 : Berggasthaus Aescher + เดินเมือง Appenzell
เริ่มด้วยช่วงเช้าถึงบ่ายกับ Berggasthaus Aescher สถานที่นี้ไม่ไกลจาก Zurich ที่ตั้งคือ Ebenalp ใน Appenzell อันนี้ไฮไลท์นิดนึง คือ Berggasthaus Aescher เนี่ยโด่งดังเพราะเป็นโรงแรมที่สร้างฝังตัวอยู่ในเขา และเป็นที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ ที่ National Geographic เคยขึ้นเป็น Cover ปก Destination of a Lifetime และตีพิมพ์หลายภาษา ถือเป็น 1 ในสถานที่กว่า 225 แห่งที่ต้องมาชมก่อนตาย!! เพราะงั้นไม่มาไม่ได้แล้ว! คนไทยอาจจะไม่ค่อยได้ยินชื่อนี้สักเท่าไหร่ และยังมาไม่เยอะมาก เพราะงั้น รีบมา! คุ้มมากนะเมื่อมาเห็น
สถานที่นี้ต้องเดินขึ้นเขาหน่อยแนะนำรองเท้าผ้าใบสวมสบาย แต่ไม่ใช่เดินเหนื่อยแบบ Tracking ปีนป่าย ที่นี่แค่เดินเฉยๆแบบทางราบที่เป็นเนินนิดหน่อย ระยะเวลาเดินประมาณ 20 นาที คือเดินไปพักไป ชิลๆ เลย เริ่มเดินก็จะผ่านวิวที่เห็นรอบๆเป็นภูเขาสีเขียวจากหญ้าตัดกับท้องฟ้าใส รวมถึงอาจจะเจอน้องวัวด้วย ที่กินหญ้าอยู่ไกลๆ เดินมาสักพักจะผ่านถ้ำที่เคยเป็นโบสถ์เล็กๆในสมัยก่อน ผ่านถ้ำแค่แปปเดียว ประมาณ 2 นาที (ไม่มีความน่ากลัวใดๆนะคะ) ออกมาเดินตามทางอีกหน่อย ก็จะเจอ Guest House ที่ขึ้นชื่อ! ตรงนี้คนจะเยอะมากส่วนใหญ่มีแต่ฝรั่งและคนในพื้นที่ ตัวโรงแรมที่ขึ้นปกนั้นปัจจุบันไม่ได้ให้พักแล้ว เค้าดัดแปลงเป็นร้านอาหาร เสิร์ฟของกินเล่นด้วยพวกแซนด์วิช+ไส้กรอก+เฟรนฟราย และน้ำดื่มค่ะ ที่นี่เป็นที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ที่เราชอบที่นึงเลย เพราะนักท่องเที่ยวไม่ได้วุ่นวาย ส่วนใหญ่เป็นคน local และบรรยากาศตลอดการเดินเป็นวิวสวยๆ ชิลมากค่ะ
ต่อมาช่วงบ่ายแก่ๆ เราไปเดินในตัวเมือง Appenzell ค่ะ เป็นเมืองเล็กๆ ที่เราไปเพราะเค้าบอกว่าเมืองนี้เมื่อก่อนดังและเป็นต้นแบบของเรื่อง Rapunzel จะมีบ้านนึงที่ลักษณะคล้ายๆ หอคอยค่ะ เห็นเค้าเล่ากันว่าอิงจากเรื่องจริงเลย ซึ่งตัวเมืองนี้มีแต่คน local อีกเช่นเคย ได้บรรยากาศชิลสุดๆ บ้านเมืองก็มีสีสันมากมาย มีพาสเทลบ้าง สวยดีค่ะ และที่น่ารักก็คือ แต่ละบ้านหรือแต่ละตึกจะมีป้ายห้อยที่สวยมากเรียงรายกันไป เค้าจะห้อยบอกว่ากิจการบ้านเค้าทำเกี่ยวกับอะไร
แผนที่
- Berggasthaus Aescher : จาก Zurich ลงสถานี Wasserauen และเดินไปที่จอดรถฝั่งตรงข้ามที่ขึ้นกระเช้า Ebenalpbahn อย่าลืมเช็คช่วงเวลาเปิด-ปิดด้วย มีช่วงเดือน 4 และเดือน 11- 12 ที่ปิด นะคะ เช็คได้ที่นี่
- สถานี Appenzell
วันที่ 3 : Stanserhorn + CabriO cable car
Stanserhorn คือเป็นที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ที่เราประทับใจมากๆ เป็นสถานที่ใหม่ๆ ที่เปิดให้ขึ้นชมวิวแบบ 360 องศา! และไฮไลท์ของที่นี่คือการนั่งรถรางผ่านวิวหญ้าเขียวเห็นธรรมชาติของบ้านคนละแวกนั้น และต่อด้วยขึ้นกระเช้าแบบเปิดด้านบน คือกระเช้า CabriO Stanserhorn ที่มี 2 ชั้น! เรียกว่า Double-decker cable car ซึ่งด้านบนเปิดให้เราขึ้นไปดูวิวและสูดอากาศแบบ fresh air เลย ส่วนด้านล่างดูวิวผ่านกระจกแบบกระเช้าอื่นๆ ปกติ เพราะฉะนั้นรีบต่อคิวและขึ้นไปจับจองพื้นที่ด้านบนกันนะคะ สวยมากๆ ไม่มีกระจกมากั้นสายตา! แอบกระซิบว่าถ้าเรามี SWISS PASS แล้วที่นี่ให้ขึ้นฟรีเลย! คุ้มสุดๆ
หลังจากนั้นขึ้นมาบนเขา Stanserhorn แล้ว เราสามารถกระจายตัวเดินดูวิวรอบได้เลยแบบ 360 องศาอีกแล้ว ขอบอกว่าเราประทับใจวิวจากภูเขาที่นี่มากๆ แนะนำให้ทุกคนมา! วิวแบบฟ้าใส รวมกับน้ำทะเลฟ้าและเขียวจากวิวด้านล่าง รวมถึงภาพภูเขาต่างๆ โดยรอบ คนไม่เยอะมาก เสียงไม่ดังวุ่นวาย มีความสงบ เราเดินชมจนเผลอดูเวลาไป อยู่บนนั้นหลายชั่วโมงมาก อิ่มวิวกันเลยทีเดียว
แผ่นที่
วันที่ 4 : Pilatus + เล่น FRÄKIGAUDI Alpine coaster
Pilatus คือภูเขาที่เรียกได้ว่าเป็น King of mountain เพราะบริเวณภูเขานี้มีหลายส่วนให้ชมวิว คนเยอะมาก มีกิจกรรมเยอะด้วย ภูเขานี้ต้องนั่งรถไฟขึ้นมา หรือจะขึ้นจากกระเช้าก็ได้ มี 2 ทางขึ้นและลง เราเลือกขึ้นด้วยรถไฟ และกลับด้วยกระเช้า cable car จะได้เห็นวิวแตกต่างกันออกไป โดยที่เค้าเคลมกันว่า เส้นทางรถไฟของเค้า คือชันที่สุดและยาวที่สุดด้วย เพราะนั่งแล้วก็รู้ยาวนานพอสมควร และแอบตกใจเล็กน้อยเมื่อเริ่มไต่ขึ้นความชันแบบเกือบ 50% ส่วนเรื่องราคาเราใช้ SWISS PASS อันนี้ลดเกือบ 50% ของราคาขึ้นปกติ แนะนำให้มาเช้า ตอนที่เค้าเปิดเลยเพราะคนเยอะมาก คิวยาวเดี๋ยวรอนาน
เมื่อขึ้นมาที่ Pilatus แล้วเราเดินชมวิวรอบๆ มีส่วนที่เป็นกระจกและ ออกมาดูวิวด้านนอกได้ ถ้าโชคดีจะเจอคนเป่าฮอร์น (Alpine horn) คือเป็นเหมือนเป่าหอยสังข์ขนาดใหญ่ที่วางที่พื้น เสียงจะก้องกังวาลมากเพราะเป่าอยู่บนเขา ก็ถือเป็นจุดขายของเขาเหมือนกัน นอกจากนั้น เราเดินชมวิวไปตามเส้นทางต่างๆ ของเค้าได้ รวมถึง เราได้เดินไปในส่วนของ Dragon den เหมือนถ้ำเล็กๆ และอาจะเห็นคนเล่น Paragliding ด้วย
ไฮไลท์ของที่นี่ ถ้ามาช่วง summer จะได้เล่นกิจกรรมต่างๆ มากมาย ซึ่งเราได้เล่น FRÄKIGAUDI Alpine coaster มีค่าใช้จ่ายเล็กน้อย เล่นกี่รอบก็ได้ เราเล่นไป 2 รอบสนุกมาก ไม่น่ากลัวเลย เพราะเราสามารถควมคุมความเร็วได้เอง และที่สำคัญคือ วิวที่ได้เห็นคือสุดยอดมากๆ เห็นภูเขาตรงหน้า ที่ล้อมด้วยน้ำทะเล เล่นไปชมวิวไปแฮปปี้มากๆ ค่ะ อันนี้แนะนำ!
แผนที่
- การมา Pilatus เรามาจาก Lucerne ไม่ไกลเลย เพราะจาก stanserhorn เมื่อวาน เราก็เลือกมานานที่ Lucerne เพราะเป็นศูนย์กลางการคมนาคม ไปต่อที่เที่ยวอื่นๆได้หลายที่มาก เดินทางสะดวก เราจอง Airbnb ไม่ได้พักใน city centre เพราะแพง ออกมานอกเมืองหน่อย (แต่ยังอยู่ใน Lucerne) แค่นั่ง Bus 5 นาทีก็ถึงสถานี Lucerne
- อย่าลืม เช็คระยะเวลาเปิด- ปิดทั้งเยี่ยมชมเขา และเครื่องเล่น ได้ที่
- https://www.pilatus.ch/en/inform/timetable/
- https://www.pilatus.ch/en/discover/fraekigaudi-toboggan-run/ (เครื่องเล่น หรือดูวีดีโอได้ที่นี่ )
วันที่ 5 : Rigi Kulm + Luzern
Rigi Kulm ถือว่าเป็น Queen of mountain จะมาด้วยรถไฟหรือเรือก็ได้ เมื่อมาถึงแล้วนั่งรถรางขึ้นไป ไฮไลท์อย่างหนึ่งก็คือวิวด้านข้างในตอนที่กำลังขึ้นไป เพราะสวยมากๆอีกแล้ว เห็นแอ่งน้ำสีฟ้า กับภูเขาลูกอื่นรอบๆ ถ้าช่วงไหนมีหมอกบางๆ เหมือนนั่งรถผ่านขึ้นไปสวรรค์เลย! เราเคยมาที่นี่ 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นวิวที่มีหมอก ระหว่างทางขึ้นแทบไม่เห็นวิวข้างๆเลย แอบเศร้า แต่พอขึ้นสูงไปอีกสักระยะ ผ่านทะเลหมอก ข้างบนใสแจ๋ว สวยมาก เหมือนผ่านชั้นเมฆขึ้นมา แต่ถ้าถ่ายรูป ด้านล่างจะไม่เห็นอะไร เป็นแค่ทะเลหมอก สวยไปอีกแบบ ส่วนครั้งนี้มาช่วง summer ตลอดทางขึ้นเห็นวิวหมดจด และเมื่อขึ้นมาแล้วก็เห็นวิวไกลไปจนสุดลูกหูลูกตาเลย ด้านล่างก็เห็นถึงพื้นเลยเช่นกัน สวยมาก และหญ้าที่นี่นอกจากจะเขียวชอุ่มแล้ว ยังมีดอกเดซี่เล็กๆ แซมไปหมด น่ารักมากๆค่ะ คนที่นี่ก็มีบางคนมา paragliding เช่นกัน เพราะวิวสวยและสงบ นอกจากนี้ วิวของภูเขาริกิ จะเห็นภูเขาลูกอื่นๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ รวมถึงเห็นภูเขา Stanserhorn ที่เราได้ไปเยี่ยมชมมาแล้ว
ช่วงบ่ายค่อนเย็น กลับมาเดินเล่นในตัวเมืองของ Luzern เป็นที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ที่ได้รับความนิยมมากๆ ที่ขึ้นชื่อที่สุดคือวิวสะพานไม้ชาเปล (Chapel Bridge) ด้านในเมื่อเดินผ่านจะมีรูปและตัวอักษรเล่าเรื่องราวของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และจากสะพานจะมองเห็นป้อมปราการทรง 8 เหลี่ยม ที่ตัดกับสีน้ำสีเขียวอมฟ้า ใสและสวยมากเมื่อมองบรรยากาศรอบๆ สามาถเดินได้รอบๆ ข้ามไปอีกฝั่งได้ เห็น lake Luzern และแถบนั้นก็มีร้านอาหาร ซึ่งอย่าลืมชิม Cheese fondue ที่เป็นอาหารขึ้นชื่อของชาวสวิส และเราสามารถเดินเล่นตามตรอกซอกซอยขายของเพื่อ shopping หรือซื้อของฝากได้จากที่แห่งนี้
แผนที่
วันที่ 6 : Interlaken เพื่อ paragliding + Schilthorn
ครึ่งเช้ามา Interlaken เพื่อเตรียมตัวเล่น paragliding สามารถหาซื้อได้ตามเน็ตหรือว่า มาเดินเล่น Interlaken แล้วจะมีซุ้มขาย paragliding ก็ใช้บริการได้เหมือนกัน เค้าจะนัดเวลา เพื่อไปรับเราที่โรงแรม และขับพาขึ้นไปที่ภูเขาค่อยปล่อยเราลงมา ราคามีหลายเรท เลือกได้จากแพกเกตว่าอยากจะอยู่ดูวิวกี่นาที มี 15 30 45 นาทีแล้วแต่บริการ แต่ราคาแอบแพงนิดนึง ของเราเลือกแบบ 30 นาที ดูวิวชิลๆ ส่วนตัวคือสนใจมา paragliding นานแล้ว คิดว่าที่สวิตเซอร์แลนด์เหมาะ เพราะวิวสวยและเชื่อในความปลอดภัยของเค้า ทางเราเองไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์เลย
ทางบริการ เค้าจะมีครูฝึกที่บังคับเครื่องให้ จะนั่งเล่นคู่ไปกับเราเลย เวลาเล่นก็แล้วแต่ครูฝึก บางทีจะมีตีลังกาบนอากาศด้วยกี่รอบก็แล้วแต่ครูฝึกและเรา บอกเค้าได้ ส่วนเรื่องเครื่องแต่งกายก็เอาของตัวเองไปพวกเสื้ออาจจะมีกันลมหรือกันหนาวหน่อยเพราะอากาศด้านบนค่อนข้างเย็นและลมแรง ส่วนรองเท้า,หมวก safety ทางทีมเค้ามีเตรียมให้ รวมถึงมีบริการถ่ายภาพและวีดีโอขณะล่องลอยอยู่บนกาศ อันนี้ต้องเสียเงินเพิ่มเองอีกหน่อย แต่แนะนำว่าซื้อเถอะ เพราะหาโอกาสเล่นแบบนี้ยาก พอช่วงลง landing จะลงที่สนามหญ้า Interlaken เราก็สารถมาเดินเล่น ชอปปิ้งต่อได้ หรือเดินไป outlet ได้เช่นกัน
ช่วงบ่ายไปดูวิวที่ Schilthorn ภูเขานี้คนจะรู้จักจากเรื่องเจมส์บอนด์ 007 เพราะเคยเป็นฉากหนังถ่ายทำที่นี่ แอบโน๊ตนิดนึงว่าภูเขาค่อนข้างสูงความกดอากาศต่ำ อาจจะหาอะไรหวานๆ ติดตัวด้วย หรือบางร้านจะขายลูกอม oxygen คือเวลาเคี้ยวละจะช่วมเพิ่ม oxygen ให้เราไม่หน้ามืด พอขึ้นไปแล้วสามารถเดินดูวิวได้โดยรอบ ทางเดินแบบกระจกใส คือเวลาเดินจะเห็นวิวด้านล่างด้วย ถึงแม้ว่าจะมาช่วง summer ภูเขาที่เราเห็นจะยังมีหิมะแซมอยู่ด้วย
เราพักทานอาหารกันที่นี่ ที่ Schilthorn Piz Gloria เพราะว่าไฮไลท์อีกอย่างนึงคือทานอาหารในร้านที่เห็นวิว 360 โดยจะหมุนไปเรื่อยๆ ให้เห็นวิวครบ แต่หมุนแบบช้ามากๆ ไม่รู้สึกเวียนหัวเลย อาหารที่คนนิยมสั่งก็จะเป็นแฮมเบอร์เกอร์ที่มีสัญลักษณ์ 007 ค่ะ
แผนที่
วันที่ 7 : Blausee
Blausee นี้ขึ้นชื่อมาก เป็นที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ที่ต้องมาสักครั้งนอกเหนือจากการขึ้นเขาดูวิว ที่นี่มีต้นไม้และแอ่งน้ำทะเลสาบสีฟ้าและเขียวเหมือนมรกต ซึ่งใสมากๆ เห็นปลาเทราซ์ว่ายเลย ซึ่งอาหารที่ขึ้นชื่อก็คือปลาเทราซ์นั่นเอง สามารถพักทานอาหารที่นี่ได้ เพราะมีร้านอาหารแห่งเดียวอยู่ที่นี่
ที่นี่ไม่ได้ใหญ่มาก สามารถเดินได้ทั่ว ถ้าเดินไปเรื่อยๆละมองที่น้ำทะเล อาจจะเห็นรูปปั้นผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมา ซึ่งเคยมีตำนานว่าเธอผิดหวังในความรักและน้ำที่เราเห็นก็คือน้ำตาที่ไหลผ่านนัยย์ตาสีฟ้าของเธอ ซึ่งก็คือน้ำทะเลแห่งนี้ เพราะมันใสมากไม่เหมือนน้ำทะเลที่อื่น แต่อย่างไรแล้ว การมาที่นี่ต้องใช้เวลาและต่อหลายต่อ แต่คุ้มมากเมื่อได้มาเห็นธรรมชาติที่สวยงามขนาดนี้
แผนที่
วันที่ 8 : Matterhorn ในเมือง Zermatt
ปิดท้ายกับอีกหนึ่งที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์ที่พลาดไม่ได้ คือภูเขา Matterhorn หรือที่รู้จักคือภูเขาทอบโบโลนนั่นเอง เกริ่นก่อนว่า Zermatt ค่อนข้างไกลมาก ต้องใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมงประมาณ 4-5 ชั่วโมงในขาเดียว (จาก luzern) แต่ก็คุ้มที่ได้มาพักที่นี่และขึ้นเขา Matterhorn เพราะว่าเมืองนี้เงียบสงบ อากาศดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เพราะเค้าไม่ให้มีรถยนต์วิ่งในตัวเมือง จะเป็นรถไฟฟ้าที่ไม่มีควัน การมาขึ้นเขาทอบโบโลน มาเส้นทาง Gornorgrat ใช้ SWISS PASS ลดได้ถึง 50%เลย ภูเขานี้ถือว่าเป็นไฮไลท์เพราะวิวสวยอีกแล้ว เห็นภูเขาที่ปลายยอดมีหิมะติดนิดหน่อย แต่ต้องกะจังหวะชมดีๆ เพราะชอบมีเมฆก้อนเล็กๆติดที่ปลายตลอด ส่วนเรื่องอากาศนั้นด้านบนค่อนข้างหนาว ใส่เสื้อผ้าที่หนาหน่อยจะดีกว่า ถึงแม้อยู่ในช่วงฤดูร้อนก็ตาม ส่วนถ้ามาช่วงหน้าหนาว จะเห็นหิมะขาวโพลนทั่วพื้นที่สวยแปลกตาไปอีกแบบ
แผนที่
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่มีแพลนจะไปเที่ยวที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่มากก็น้อยนะคะ บางแห่งคนไทยยังไม่ไปเยอะมาก หรือนักท่องเที่ยวแถบบ้านเรายังไม่ค่อยรู้จักก็รีบไปกัน เที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ด้วยตัวเองไม่ใช่เรื่องยาก อาจจะต้องขึ้นอยู่กับเวลาการวางแพลนของแต่ละคนด้วย ว่าจะอัดหรือชิลมากน้อยแค่ไหน ขอให้สนุกกับบทความค่ะ : )
Note: ทริปนี้เป็นทริปที่ 2 ของการมาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ เพราะฉะนั้นแล้ว จะไม่ได้มี ภูเขา Titlist,เมือง Bern, ชม lake Beienz, Grindelwald และ Geneva. แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือ เราไม่ได้ขึ้น Jungfrau เนื่องจากใช้เวลานาน +คนเยอะและเราสนใจวิวของเขาอื่นๆมากกว่าค่ะ ถ้าว่างๆ จะมาเพิ่มที่เที่ยวในสวิตเซอร์แลนด์อีกทีค่ะ